วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

10 สถานที่สำคัญในฝรั่งเศส


 หอไอเฟล


 

            นับเป็นเมืองน่าเที่ยวที่สุดเมืองหนึ่ง สำหรับกรุง "ปารีส" ที่หากใครได้ไปเยือนแล้วก็ต้องตกหลุมรักในบรรยากาศอันสุดแสนจะโรแมนติกของเมือง ๆ นี้ จนอยากจะกลายเป็นคนเมืองนี้ขึ้นมาเลยทีเดียว ...

            แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น นักท่องเที่ยวที่มาเยือนกรุงปารีสส่วนใหญ่ต่างก็มีเวลาที่จำกัด ขณะที่เมือง ๆ นี้ มีสถานที่ที่น่าสนใจนับไม่ถ้วน จนทำให้การเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวทุกที่ในปารีสกลายเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก หากมีเวลาเที่ยวเพียงไม่กี่วัน แต่ไม่ว่าจะมีเวลาเที่ยวปารีสมากน้อยแค่ไหน สิ่งที่คุณไม่ควรพลาดเลยก็คือการไปเยือน 10 สถานที่ต่อไปนี้ ที่ทำให้คุณได้สัมผัสกับความเป็น "ปารีส" อย่างแท้จริง



            1. การนั่งรถทัวร์ชมกรุง (Double Decker Bus Tour)

            การนั่งรถทัวร์ชมกรุงเป็นสิ่งที่คุณควรทำอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับนักท่องเที่ยวที่มาปารีสเป็นครั้งแรก เพราะที่นี่จะมีรถทัวร์ที่เรียกกันว่า L'Open ทัวร์ ซึ่งเป็นรถทัวร์ที่มีดาดฟ้าอยู่ข้างบน เพื่อให้คุณได้ชมเมืองปารีสอย่างไม่มีอะไรบดบังสายตาเลย

            นักท่องเที่ยวสามารถซื้อตั๋ววันเดียวหรือสองวันก็ได้ สำหรับการนั่งรถชมเมืองใน 4 เส้นทาง โดยทันทีที่คุณซื้อตั๋วแล้ว ทางรถทัวร์จะมีชุดหูฟังให้คุณ เพื่อใช้ในการเสียบต่อกับแจ็คที่อยู่บริเวณด้านข้างของเบาะที่นั่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถฟังบรรยายไปตลอดการเดินทาง โดยเลือกฟังได้ถึง 8 ภาษา คือ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาอิตาลี ภาษาเยอรมัน ภาษาสเปน ภาษารัวเซีย และภาษาจีน 

นั่งรถชมกรุง

            สำหรับเคล็ดลับในการนั่งรถทัวร์ชมกรุงปารีสนั้น แนะนำให้คุณลองใช้บริการในวันธรรมดาหรือเช้าวันหยุดสุดสัปดาห์จะดีที่สุด เพราะหากใช้บริการในช่วงเวลาอื่นคนจะแน่นมาก และคุณอาจจะได้ยืนในห้องยืนที่จัดไว้รองรับเวลาที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก นอกจากนี้ หากคุณใช้บริการช่วงคนน้อย คุณสามารถที่จะเปลี่ยนแจ็กหูฟังของคุณได้ในกรณีที่ใช้หูฟังต่อกับแจ็กบางตัวไม่ได้อีกด้วย

            


            2. ชมทิวทัศน์จากด้านบนของหอไอเฟล (Eiffel Tower)

            หอไอเฟลไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองปารีสเท่านั้น หากแต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสด้วย ดังนั้น หากนักท่องเที่ยวคนใดไม่ได้ไปเยือนหอไอเฟล ถือว่าไปไม่ถึงฝรั่งเศสเลยทีเดียว ทำให้ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวกว่า 60 ล้านคน ไปเยือนหอไอเฟล โดยนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นชมทัศนียภาพรอบกรุงปารีสได้ เพียงแค่ซื้อบัตรที่บูธซึ่งอยู่บริเวณฐานของหอไอเฟล แล้วขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นต่าง ๆ ของหอไอเฟล


หอไอเฟล
หอไอเฟล


            และด้วยความที่หอไอเฟลมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก (โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน) แนะนำให้คุณไปเที่ยวชมช่วงเช้าหรือหลัง 6 โมงเย็น หรือในวันธรรมดา เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรอคิวเป็นเวลานาน 


            3. ล่องเรือในแม่น้ำเซน ชมพระอาทิตย์ตกดิน (Sunset River Cruise on the Seine)

            การล่องเรือในยามใกล้ค่ำเป็นทางเลือกที่ดีมาก หากคุณอยากจะชมทิวทัศน์ยามราตรีของกรุงปารีส โดยเรือจะล่องจากหอไอเฟล ผ่านสถานที่ที่น่าสนใจสองฝั่งแม่น้ำเซน รวมถึงผ่านโบสถ์นอทเทอร์ดัมด้วย 


แม่น้ำเซน


            สำหรับเคล็ดลับของการนั่งเรือชมพระอาทิตย์ตกดินนั้น แนะนำให้คุณไปก่อนเวลาขายตั๋ว เพื่อที่จะได้เลือกที่นั่งหลังก่อนนักท่องเที่ยวคนอื่น ซึ่งที่นั่งด้านหลังสุดนี้จะเป็นบริเวณที่ไม่มีหลังคา ไม่ล้อมด้วยกระจก และบริเวณนี้คือจุดที่ดีที่สุดสำหรับการถ่ายภาพสวย ๆ ของเมืองปารีสยามพระอาทิตย์ตก



            4. โบสถ์นอทเทอร์ดัม (Notre Dame Cathedral)

            โบสถ์นอทเทอร์ดัมเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของกรุงปารีส เพราะเป็นสถานที่ที่อยู่คู่กับเมืองปารีสมาช้านาน และมีชื่อเสียงด้านความใหญ่โตหรูหรา มีสถาปัตยกรรมที่งดงามมาก โดยการเที่ยวชมนั้นนักท่องเที่ยวจะได้เห็นความอลังการของโบสถ์นอทเทอร์ดัม อีกทั้งยังต้องขึ้นบันได 387 ขั้นเพื่อไปถึงยอดของโบสถ์


โบสถ์นอทเทอร์ดัม
โบสถ์นอทเทอร์ดัม



            ส่วนเคล็ดลับในการชมโบสถ์นอทเทอร์ดัมนั้น แนะนำให้คุณไปเยี่ยมชมช่วงเช้า เพราะดวงอาทิตย์จะส่องกระทบกับซุ้มประตูทางทิศตะวันตกของโบสถ์ มองดูแล้วเหมือนเป็นประกายเพชรที่ระยิบระยับจับตา เพิ่มความหรูหราให้กับโบสถ์ได้เยอะเลยทีเดียว



            5. โบสถ์แซงต์ ชาแปลล์ (Sainte Chapelle)

            ถัดจากโบสถ์นอทเทอร์ดัม มีโบสถ์แซงต์ ชาแปลล์ ซึ่งเป็นโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวปารีส สร้างในสไตล์กอธิค มีการประดัประดาด้วยกระจกสวยงามมากมาย จนนักท่องเที่ยวที่ไปเยี่ยมชมต่างยอมรับว่ากระจกที่ใช้ตกแต่งโบสถ์มีความงดงามที่สุด ยิ่งเมื่อแสงจากภายนอกส่องเข้ามา ยิ่งทำให้มองเห็นลายกระจกชัดเจนและสวยงามมาก


โบสถ์แซงต์ ชาแปลล์
โบสถ์แซงต์ ชาแปลล์




โบสถ์แซงต์ ชาแปลล์
โบสถ์แซงต์ ชาแปลล์



            สำหรับคำแนะนำในการเยี่ยมชม ควรเยี่ยมชมช่วงเช้าดีที่สุด เพราะนักท่องเที่ยวไม่เยอะ หากไปช่วงอื่นต้องรอคิวเยี่ยมชม เพราะโบสถ์แซงต์ ชาแปลล์เป็นโบสถ์ขนาดเล็กมาก




            6. ถนนฌ็องเซลิเซ่ และประตูชัยนโปเลียน (Champs Elysees & Arc de Triomphe)

            ถนนฌ็องเซลิเซ่ เป็นถนนที่มีความสวยงามและมีชื่อเสียงที่สุดในกรุงปารีส นักท่องเที่ยวสามารถเดินตามถนนสายนี้ไปสู่ประตูชัยนโปเลียน ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานที่สำคัญในกรุงปารีส และที่นี่นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมชั้นบนของประตูชัยได้ โดยเดินขั้นบันได 284 ขั้น หรือใช้ลิฟต์


ถนนฌ็องเซลิเซ่ และประตูชัยนโปเลียน
ถนนฌ็องเซลิเซ่ และประตูชัยนโปเลียน


            7.  เลแซงวาลิด (Les Invalides (Napoleon's Tomb))

            เลแซงวาลิด เป็นอาคารที่ฝังพระศพของพระเจ้านโปเลียนที่ 1 ซึ่งมีศพนายพลพระสหายของพระเจ้านโปเลียนอีกหลายคนฝังอยู่ด้วย ตัวอาคารมีโดมที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นโดมที่สวยงามที่สุดในกรุงปารีส นอกจากนี้ ยังมีศิลปะมากมายจัดแสดงอยู่ในนั้นอีกด้วย


เลแซงวาลิด


            8. พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์ (Musee d'Orsay)

            พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมศิลปะหลายอย่างเข้าด้วยกัน อันได้แก่ ศิลปะด้านการออกแบบสิ่งทอ ศิลปะทางประวัติศาสตร์ ภาพถ่าย ประติมากรรม ซึ่งสะท้อนเอกลักษณ์ของปารีสออกมาได้เด่นชัดเลยทีเดียว


พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์
พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์



            สำหรับเคล็ดลับในการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ออร์เซย์ ควรใช้เวลามากหน่อยเพื่อศึกษาศิลปะต่าง ๆ ที่จัดแสดงอยู่ทั้ง 3 ชั้นของพิพิธภัณฑ์ และที่ไม่ควรพลาดคือ ร้านอาหารที่มีหน้าต่างกระจกบานใหญ่ ให้นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำเซนได้อย่างเต็ม ๆ ตา





            9. พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (The Louvre)

            เป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เคยเป็นพระราชวังหลวงมาก่อน จัดแสดงศิลปะที่มีคุณค่าระดับโลกมากมาย เช่น ภาพเขียนโมนาลิซ่า ผลงานของต่าง ๆ ของเลโอนาร์โด ดาวินซีแลอเล็กซานดรอส นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์ที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมมากที่สุดในกรุงปารีส ดังนั้น คุณจึงไม่ควรพลาดในการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ลูฟร์แห่งนี้


พิพิธภัณฑ์ลูฟร์



            10. มงต์มาร์ทร์ (Montmarte & Sacre Couer Basilica)

            มงต์มาร์ทร์เป็นหุบเขาสูง 130 เมตร ทางเหนือของปารีสและเป็นจุดที่สูงที่สุดของเมือง บนเขาเป็นที่ตั้งของโบสถ์ซาเครเกอร์ สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานที่อุทิศแด่ชาวฝรั่งเศส ที่เสียชีวิตจากสงครามกับปรัสเซีย ออกแบบตามแบบศิลปะสไตล์โรมัน - ไบเซนไทน์ ซึ่งมีความอลังการและงดงามมาก



มงต์มาร์ทร์

            และนี่ก็คือ 10 สถานที่ท่องเที่ยว ที่แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมอันเป็นมรดกของชาวปารีส หากคุณเป็นอีกคนที่มีเวลาจำกัดในการท่องเที่ยว ลองวางแผนการเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้ดู เชื่อเถอะว่า หากคุณได้ไปเยือนแล้ว คุณจะได้ชื่อว่าเป็น "ผู้มาเยือน" ปารีสอย่างแท้จริง




ที่มา http://travel.kapook.com/view11359.html

10 สถานที่สำคัญในสวิสเซอร์แลนด์



10 สถานที่ ควรไปในสวิตเซอร์แลนด์

           ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่สวยงามและเงียบสงบไม่แพ้ที่ไหน ๆ ในโลก จึงเป็นประเทศที่ใครหลาย ๆ คนฝันอยากจะไปท่องเที่ยว เพื่อสัมผัสกับความงามของที่นี่ด้วยตาของตัวเองสักครั้ง อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นอีกคนที่สนใจอยากจะไปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร ที่ไหนบ้างดี วันนี้เรามีข้อแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับสถานที่ที่คุณควรไปเยือนมาฝาก ลองมาอ่านกันดูเลยค่ะ
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
1. ชมงานศิลป์ที่เมือง Basel
           เมืองนี้เป็นอีกเมืองที่รวบรวมงานศิลปะสวย ๆ เอาไว้ด้วยกัน โดยเฉพาะที่ Fondation Beyeler ที่รวบรวมภาพเขียนของศิลปินชื่อดังตั้งแต่ใอดีตหลายคน ยกตัวอย่างเช่น Bacons, Monets และ Picassos นอกจากนี้ ในเมือง Basel ยังมี Kunstmuseum ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ที่รวบรวมงานศิลป์สวย ๆ ทั้งแนวย้อนยุคและแบบร่วมสมัยอีกเอาไว้อีกด้วย เรียกได้ว่า ผู้ที่รักศิลปะนั้นไม่ควรพลาดเด็ดขาด
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
2. สัมผัสวิวแม่น้ำสวย ๆ ได้ที่นี่
           สมัยนี้การจะมองหาทิวทัศน์ของแม่น้ำลำธารสวย ๆ ใสสะอาดเหมือนสมัยก่อนนั้นเป็นเรื่องที่ยากเต็มที เพราะคนไม่รู้จักรักษาสิ่งแวดล้อม ขยันทิ้งขยะลงแม่น้ำกันเป็นประจำ แถมยังได้รับมลพิษจากของเสียที่ถูกปล่อยออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ อีกด้วย แต่ไม่ใช่กับประเทศนี้ เพราะมีการรักษาความสะอาดกันเป็นอย่างดี ทำให้น้ำในแม่น้ำที่นี่ยังคงใสสะอาด และยังมีแม่น้ำจำนวนมากกว่า 10 สาย ให้เราได้เลือกพักผ่อนหย่อนใจริมแม่น้ำได้ตามใจชอบ เช่น แม่น้ำอาเร, แม่น้ำโปและแม่น้ำไรน์ซึ่งมีความยาวมากที่สุดในประเทศ ด้วยความยาวถึง 375 กิโลเมตร
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
3. แวะเล่นสกีที่ Zermatt
           เมืองเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อย่างเมือง Zermatt นั้น มีจุดเด่นอยู่ที่ภูเขา Matterhornที่นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นมาชมวิวที่ยอดเขา และเล่นสกีกันที่นี่ ทำให้โรงแรมในแถบนั้นมีแขกพักเต็มอยู่เสมอ จนบางครั้งก็ถึงกับต้องจองกันล่วงหน้าเป็นเวลาหลายเดือนเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น ถ้าใครวางแผนจะไปเที่ยวที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ล่ะก็ อย่าลืมเพิ่มทริปเล่นสกีที่ Zermatt เข้าไปในโปรแกรมของคุณด้วย
สวิตเซอร์แลนด์
4. สิ่งก่อสร้างก็โดดเด่นไม่แพ้ที่ไหน ๆ
           สถาปัตยกรรมของที่นี่ ถือว่าโดดเด่นไม่แพ้สิ่งแวดล้อมจากธรรมชาติรอบข้าง เพราะสวิตเซอร์แลนด์ขึ้นชื่อในเรื่องสิ่งก่อสร้างสวยงามค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นแบบย้อนยุคคลาสสิกที่พบได้ในแถบชานเมือง หรือแบบโมเดิร์นสมัยใหม่เก๋ ๆ ที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศแห่งนี้ เพราะฉะนั้น หากมีเวลาก็อย่าลืมลองเดินท่องเที่ยว เพื่อสำรวจและซึมซับสถาปัตยกรรมที่งดงาม เป็นเอกลักษณ์สวิตเซอร์แลนด์กันนะ
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
5. แหล่งรวมสปาชั้นยอด
           สำหรับใครที่ต้องการจะผ่อนคลายความเมื่อยล้า หรือบำรุงผิวสวย ๆ ของตัวเอง สปาของที่นี่จะไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะประเทศสวิตเซอร์แลนด์ขึ้นชื่อเรื่องการทำสปากันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ที่นี่จึงมีสปาชั้นดีให้คุณเลือกใช้บริการได้มากมาย แถมยังมีหลากหลายแบบให้เลือก ไม่ว่าจะเป็น การนวดตัว หรือสปาช็อกโกแลต ที่ให้คุณได้เข้าไปอาบน้ำบำรุงผิวในบ่อช็อกโกแลตซะด้วย...ว้าว!
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
6. Helvetia เมืองที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติ
           หากคุณเป็นอีกคนที่กำลังมองหาที่พักผ่อนท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ และสามารถเพลิดเพลินกับความงามของธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ Helvetia จะเป็นอีกเมืองที่คุณไม่ควรพลาด เพราะที่นั่นเป็นเมื่องที่เงียบสงบ ไม่พลุกพล่าน และยังมีธรรมชาติสวยงามให้ชมอีกด้วย โดยเฉพาะที่สวน Botanical Garden ในเกาะใจกลางแม่น้ำ Maggiore ซึ่งรวบรวมดอกไม้นานาพันธุ์ไว้ด้วยกัน เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติได้เข้าชม
7. พักผ่อนริมน้ำตก Trummelbach falls
           Trummelbach falls เป็นชื่อของน้ำตกธรรมชาติ 10 สาย อันสวยงามที่ไหลลงท่ามกลางหุบเขา ด้วยความสูงถึง 140 เมตร รับรองได้ว่าใครที่มีโอกาสได้ไปดู จะต้องประทับใจในความงดงามของมันอย่างแน่นอน ทั้งนี้ หากคุณต้องการจะสัมผัสความงามของน้ำตกนี้อย่างใกล้ชิด ก็สามารถจ่ายเงินเพื่อเข้าชมน้ำตกภายในตัวภูเขาได้ ด้วยราคาเพียงแค่ 10 เหรียญเท่านั้น
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
8. ใกล้ชิดสัตว์ที่ Swiss National Park
           ที่นี่เป็น National Park แห่งเดียวของประเทศสวิตเซอรแลนด์ ซึ่งให้สัตว์ได้อยู่กันตามธรรมชาติ โดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่ห่าง ๆ และเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ โดยสวนแห่งนี้มีขนาดใหญ่ถึง 172.3 ตารางกิโลเมตร ส่วนสัตว์ที่สามารถพบได้ที่นี่ ได้แก่ นกอินทรีทอง นกแร้งเครา แพะภูเขา ตัวมาเมิต เลียงผา และกวางเอลค์
9. อิ่มอร่อยที่ Piz Gloria
           Piz Gloria เป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่บนยอดเขา Schilthorn จึงเป็นแหล่งที่ผู้คนนิยมมาชมวิวของภูเขากันจากที่นี่ นอกจากนี้ ร้านนี้ยังเคยเป็นสถานที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง James Bond ภาค On Her Majesty's Secret Service มาก่อน จึงทำให้มีของที่ระลึกจากภาพยนตร์เรื่องนี้ขายเป็นจำนวนมาก แถมยังมีบาร์ชื่อ James Bond อยู่ภายในร้านอีกด้วย ส่วนอาหารจานเด็ดของที่นี่ ได้แก่ มันฝรั่งทอดแบบสวิส ชีสฟองดู และ สปาเก็ตตี้เจมส์ บอนด์
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
10. แดนสวรรค์ของคนรักช็อกโกแลต
           ช็อกโกแลตของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยจนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ดังนั้น เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ไม่ควรพลาดลองช็อกโกแลตโฮมเมดตามร้านคาเฟ่ต่าง ๆ เด็ดขาด นอกจากนี้ คุณยังควรแวะชมพิพิธพัณฑ์ Museo Storico Di Blenio ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมศิลปะต่าง ๆ รวมถึงเรื่องราวเกี่ยวกับช็อกโกแลตตั้งแต่สัยโบราณเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องผลิต รูปภาพ และโฆษณาช็อคโกแลตในสมัยก่อนอีกด้วย

ที่มา 
http://travel.kapook.com/view39748.html

เทพเจ้าในความเชื่อของกรีก-โรมัน


เทพเจ้าในความเชื่อของชาวกรีก - ชาวโรมัน

       ตำนานเทพกรีกเป็นเรื่องราวของเทพเจ้าและวีรบุรุษในตำนานของชนชาวกรีกโบราณซึ่งเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปที่สนใจสืบค้นประวัติ แต่อาจจะแตกต่างที่ชื่อ เพราะส่วนใหญ่จะได้อ้างอิงตำนานของกรีกโบราณเป็นหลัก ส่วนตำนานของโรมันเป็นอาณาจักรที่เกิดขึ้นทีหลัง            ความจริงแล้วเหล่าเทพเจ้าของโรมันก็คือเทพเจ้าที่กรีกนับถือ เมื่ออาณาจักรกรีกล่มสลายไป และเกิดอาณาจักรโรมันที่รุ่งเรืองมาแทนที่ ชาวโรมันก็ได้รับตำนานความเชื่อในเหล่าเทพเจ้าของชนชาวกรีกมาด้วย แต่ก็ได้มีการนำมาเปลี่ยนชื่อและแต่งเติมเรื่องราวเข้าไปจนกลายเป็นตำนานเทพเจ้าของอาณาจักรตนเอง สังเกตุได้จากชื่อที่แตกต่างกัน เช่น เทพเจ้าสูงสุดกรีกเรียกว่า ซูส แต่โรมันเรียกว่า จูปิเตอร์, กรีกเรียกเทพเจ้าแห่งความรักว่าอีรอส แต่โรมันเรียกว่าคิวปิด เป็นต้น

ชื่อกรีกและโรมันของเทพในเทพปกรณัม
อาจจะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไป...แต่แท้จริงแล้วคือเทพองค์เดียวกันนั้นเอง  เรามีแผนผังของเทพเจ้ากรีกและชาวโรมันมาให้ดูกันค่ะ    


       แผนผังของเทพเจ้ากรีกและชาวโรมัน


ชื่อกรีกและโรมันของเทพในเทพปกรณัม


เทพเจ้าชั้นสูงทั้งสิบสองที่อยู่บนเทือกเขาโอลิมปัสกันดีกว่า
Zeus (Greek) : Jupiter (Roman) เป็นเทพเจ้าสูงสุด
ท่านได้ชื่อว่าเป็นเทพเจ้าแห่งพายุ อากาศ และท้องฟ้า
อาวุธประจำกายของท่านคือสายฟ้า ทรงพิโรธคราใด ท่านก็ฟาดสายฟ้าลงมาจากโอลิมปัสลงโทษเทพหรือมนุษย์ผู้โอหังให้สิ้นชีพเสีย


Hera (Greek) : Juno (Roman)
ท่านเป็นราชินีแห่งทวยเทพทั้งหมด เป็นมเหสีเอกของซูส
ถือกันว่าท่านเป็นเทพเจ้าแห่งการแต่งงาน (Matrimony)


Poseidon (Greek) : Neptune (Roman)
ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเล แผ่นดินไหว และม้าศึก
อาวุธประจำกายของท่านคือตรี หรือสามง่ามที่เห็นในรูปนั่นเอง


Demeter (Greek) : Ceres (Roman)
ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยว เป็นพระมารดาของ Proserpina

Ares (Greek) : Mars (Roman)
ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งการศึกสงคราม ตามความเชื่อถือเป็นบิดาของโรมูลัสผู้ก่อตั้งโรม
ท่านเป็นชู้ลับกับเทพธิดาวีนัสอีกด้วยค่ะ


Hermes (Greek) : Mercury (Roman)
ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งการสื่อสาร มีหน้าที่ส่งข่าวให้เทพองค์อื่นๆ
นอกจากนี้ ท่านยังเป็นผู้นำพาวิญญาณไปยังยมโลกอีกด้วย


Hephaestus (Greek) : Vulcan (Roman)
ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งไฟและการตีเหล็กและเป็นสามีของวีนัส
เมื่อสงสัยว่าเจ้าน้องชายคือมาร์สเป็นชู้กับมเหสีตน ท่านก็ตีเหล็กเป็นตาข่ายละเอียด จนจับทั้งสองได้คาหนังคาเขาขณะเปลือยกายอยู่ด้วยกัน
ท่านทิ้งทั้งสองไว้ในสภาพนั้นและเรียกเทพเจ้าทั้งหลายมาดู
การถูกเทพเจ้าทั้งหลายหัวเราะเยาะเย้ยจึงเป็นเรื่องที่น่าอับอายของมาร์สและวีนัสไปอีกนานเชียวค่ะ


Aphrodite (Greek) : Venus (Roman)
ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งความรักและความสวยงาม เป็นแม่ของคิวปิด
ท่านรักสวยรักงามและค่อนข้างเอาแต่ใจ
อย่างตอนที่นางริษยาในความงามของไซคีซึ่งเป็นเพียงมนุษย์ นางจึงสั่งให้คิวปิดบุตรชายไปทำให้ไซคีตกหลุมรักชายที่น่าเกลียดที่สุด
คิวปิดกลับพลาดทำศรจิ้มนิ้วตัวเองและตกหลุมรักไซคี จนเป็นตำนานรักของคิวปิดกะไซคีที่เราได้ยินกัน

หรือในคราที่วีนัส ฮีร่า และอธีน่า แข่งกันว่าใครสวยที่สุดและให้ปารีสตัดสิน
นางก็ติดสินบนปารีสว่าหากเลือกนาง นางจะมอบหญิงสาวที่สวยที่สุดให้ แน่นอนว่าปารีสจึงเลือกนาง
นางจึงให้เฮเลนตกหลุมรักปารีสตามสัญญาและปารีสก็ลักลอบพาเฮเลนกลับทรอยจนทำให้เกิดโศกนาฏกรรมสงครามกรุงทรอยตามมา

Venus de Milo
Musee du Louvre, Paris, France


Athena(Greek) : Minerva (Roman)
ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งปัญญาและการศีกสงคราม
นางเองก็เอาแต่ใจไม่แพ้วีนัสจนเกิดเรื่องยุ่งเหยิงอยู่เสมอ
กำเนิดของอธีน่านั้นค่อนข้างพิเศษอยู่สักหน่อยโดยซูสนั้นเป็นผู้ให้กำเนิด
เรื่องมีอยู่ว่า ซูสนั้นได้เมทิสเป็นภรรยา
โหรทำนายว่าลูกของทั้งสองจะยิ่งใหญ่กว่าซูส
ซูสจึงกลืนเมทิสเข้าไปทั้งตัวเพื่อไม่ให้เธอได้มีโอกาสมีบุตรที่ว่านั้น
แต่เมทิสนั้นได้ตั้งครรภ์แล้วและเธอก็ได้อาศัยอยู่ในตัวซูส จนครบกำหนดคลอดอธีน่านั้นก็ได้เกิดออกมาโดยออกมาทางหน้าผากของซูส



Apollo (Greek) : Apollo (Roman)
ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง การดนตรี กาพย์กลอน การทำนาย และการเยียวยา


Artemis (Greek) : Diana (Roman)
ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ พรหมจรรย์ การล่า และการคลอดบุตร เป็นนองสาวฝาแฝดของอพอลโล
ที่ได้ตำแหน่งเทพแห่งการคลอดบุตรพ่วงมาด้วยนี่เป็นเพราะบางตำนานเชื่อกันว่าเธอได้ช่วยลีโตพระมารดาในการคลอดอพอลโลกด้วย



Hestia (Greek) : Vesta (Roman)
ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งชีวิตครอบครัว ว่ากันว่าเธอไม่เคยออกจากบ้านไปไหนเลย
อพอลโลและโพไซดอนนั้นพึงใจในตัวเธอแต่เธอร้องขอแก่ซูสผู้เป็นบิดาว่าจะขอรักษาพรหมจรรย์ไว้ตลอดชีพ
ซูสให้พรตามคำขอและให้เธอนั้นอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนอยู่บนโอลิมปัสเสมอมา



จบจากเทพชั้นสูงทั้งสิบสองแห่งโอลิมปัสแล้ว เราลองมาไล่ดวงดาวที่เหลือกันให้ครบดีว่า
Cronus (Greek) : Saturn (Roman) ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งเกษตรกรรม เป็นบิดาของ Jupiter, Neptune, Juno และ
Pluto
Uranus (Greek) : Caelus (Roman) บิดาของ Saturn (Greek: Cronus), Ops (Rhea), Oceanus และ
Venus (Aphrodite).
Hades (Greek) : Pluto (Roman) เป็นเทพเจ้าแห่งยมโลก ท่านได้ไปลักพา Proserpina มาเพื่อเป็นภรรยา
มารดาของเธอคือ Ceres เทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยว เศร้าเสียใจมากจนดลบันดาลให้มีฤดูหนาวขึ้น พืชผลพาการล้มตาย
นำความเดือดร้อนมาเป็นอันมาก

ซูสจึงขอลูกสาวคืน พลูโตได้ทำข้อตกลงว่าจะคืนให้ปีละหกเดือน ซึ่งเป็นเวลาที่ เซเรสดีใจมาก
บันดาลให้ดอกไม้พืชพรรณออกดอกออกผลสะพรั่งและเมื่อเธอกลับไปยังยมโลก ความเศร้าของเธอก็ทำให้ฤดูหนาวมาเยือนอีกครา
โลกจึงมีฤดูด้วยประการฉะนี้

นำรูปปั้นตอนพลูโตลักพาโพรเซอร์พิน่าของเบอร์นีนี่มาให้ค่ะ



ชื่อบางชื่อก็คล้ายกันจนน่าสับสนนะคะ อย่างเช่น อีออส กับอีรอส
Eos (Greek) : Aurora (Roman) เทพเจ้าแห่งรุ่งอรุณ (Dawn)
Eros(Greek) : Cupid (Roman) เทพเจ้าแห่งความรัก

เอารูปคิวปิดกะไซคีมาลงค่า รูปนี้ถ่ายเองตอนไปพิพิธภัณฑ์ลูร์ฟ ที่ปารีส สวยจนลืมหายใจเลยค่ะ


ทีนี้มาถึงชื่อของเทพเจ้าแห่งสายลมกันบ้างดีกว่า ที่หลักๆก็คงเป็นสายลมทั้งสี่ทิศค่ะ

Boreas (Greek) : Aquilon (Roman) เทพเจ้าแห่งสายลมเหนือ ผู้นำพาลมหนาวแห่งเหมันตฤดูมาให้มวลมนุษย์

Notus (Greek) : Auster (Roman) เทพเจ้าแห่งสายลมใต้ ผู้นำพาลมร้อนแห่งคิมหันตฤดู
ยามปลายฤดูร้อนต้นใบไม้ร่วงจะนำพายุมาทำลายพืชผล

Eurus (Greek) : Vulturnus (Roman) ) เทพเจ้าแห่งสายลมตะวันออก นำพาความอบอุ่และสายฝนอันชุ่มฉ่ำมาเยือน

Zephyrus (Greek) : Favonius (Roman) เทพเจ้าแห่งสายลมตะวันตก สายลมอันอ่อนโยนที่นำพาฤดูใบไม้ผลิ

Zephyrus หรือ Zephyr นั้น เป็นสามีของไอริส เทพธิดาแห่งสายรุ้ง น้องสาวของตัวเอง
แต่เซเฟอร์นั้นเจ้าชู้จึงแอบไปเกี้ยวน้องสาวองค์อื่นๆด้วย
ว่ากันว่า เซเฟอร์และบอเรียสพี่ชายต่างหลงรักคลอริส (Greek: Chloris - Roman: Flora) ผู้เป็นน้องสาวของทั้งคู่
เซเฟอร์ได้ลักพาคลอริส ไป และมอบสวนดอกไม้ให้เป็นดินแดนของเธอ ซึ่งที่นั่นเธอได้กำเนิดบุตรชายคือ Carpus หรือผลไม้นั่นเอง

ชายาอีกคนของเซเฟอร์คือ Podarge บางครั้งรู้จักกันในนาม Celaeno
เธอเป็นน้องสาวของเซเฟอร์(และของไอริสและคลอริส)อีกเช่นกัน
ซึ่งเธอได้ให้กำเนิด Balius and Xanthus ซึ่งเป็นม้าของอคีลีส (Achilles) นั่นเอง





อ้าอิงจาก

http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=mneme&date=05-10-2009&group=10&gblog=2

วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556





วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555


วัฒนธรรมตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย


วัฒนธรรมชาตินิยมตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมไทย

ด้วยลักษณะของอิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกที่แฝงมาในรูป ต่างๆ ตามสื่อมวลชนภาพยนต์ ซึ่งเราบริโภคอยู่จนคิดว่าเป็นวัฒนธรรมสากล จนหลงไปว่าเป็นอารยธรรม จนทำให้เราหลงลืมภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ดีงามไป และมีอิทธิพลต่อวิธีคิดวิธีทำงานของพวกเราเป็นอย่างมาก จนยากที่จะถอนออกไปได้ ซึ่งพอสรุปเป็นเรื่องหลักๆ ได้ 3 ประการคือ ความเป็นปัจเจกบุคคล การแข่งขัน และการมองโลกแบบเครื่องจักร
ความเป็นปัจเจกนำไปสู่การเห็นแก่ตัวขาดความสัมพันธ์กับ สิ่งรอบตัว ทำให้ไม่เข้าใจในความสัมพันธ์ที่ควรจะเป็นไม่สามารถที่จะรวมพลังกันที่จะทำ สิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้น การแข่งขันที่ไม่ใช่เฉพาะแข่งดี แต่เป็นการแข่งกันทำลายล้างกันในขณะเดียวกัน ดังจะเห็นได้จากความพยายามที่จะพิชิตโลกที่จะเป็นหนึ่งอันก่อให้เกิดการ ทำลายสิ่งแวดล้อม เบียดเบียนเพื่อมนุษย์ด้วยกันอย่างไม่รู้ตัว และการมองโลกแบบเครื่องจักร ที่คิดให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเครื่องจักรที่ควบคุ้มด้วยกฏเกณฑ์ทางฟิสิกส์ แบบนิวตัน ซึ่งก่อให้เกิดความซับสนและความขัดแย้ง ไม่สามารถที่จะเห็นถึงผลกระทบในองค์รวม และความสัมพันธ์เชื่อมโยง ซึ่งสิงที่เห็นได้ชัดอีกอย่างหนึ่งก็คือเราไม่สามารถที่จะอยู่ในโลกนี้ได้ อย่างมีความสุขและสมานฉันท์

ด้วยแนวคิดตามความเชื่อดังกล่าวยังคงมีอิทธิพลต่อสังคม และองค์กรอยู่ทุกหัวระแหง ทำให้ยิ่งมีการพัฒนาก็ยิ่งก่อให้เกิดปัญหาในสังคมไทยอย่างต่อเนื่องมากมาย และก็ยังคงดำรงสภาพนี้ต่อไปถ้าหากไม่ทำอะไรที่จะแก้ปํญหา ผู้นำจะต้องออกมาช่วยเหลือในส่วนนี้ โดยสร้างการมีส่วนร่วม และสร้างความสัมพันธ์ให้เกิดขึ้น ผู้นำอย่างได้เป็นปํญหาเสียเอง ซึ่งทุกวันนี้ผู้นำยุคปัจจุบันยังคงวนเวียนกับการที่ไม่รู้ว่าจะทำงานร่วม กันอย่างไร การจัดหาสรรหา สิ่งที่จำเป็นและต้องการอย่างรวดเร็วได้อย่างไร และจะทำงานให้บรรลุผลตรงตามจุดประสงค์เป้าหมายได้อย่างไร เราต้องเปลี่ยนแนวคิดจากสิ่งที่ทำให้เราอยู่แยกกัน และแบ่งแยกทุกสิ่งทุกอย่าง ให้มีพฤติกรรมองค์กรใหม่อย่างเร่งด่วน ในการเรียนรู้ การทำงานร่วมกันท่ามกลางความแตกต่าง เปลี่ยนการมองแบบเครื่องจักรมาเป็นแนวคิดที่ยืดหยุ่น
ไทยได้รับวัฒนธรรมตะวันตกหลายด้านมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ในระยะแรกเป็นความก้าวหน้าด้านการทหาร สถาปัตยกรรม ศิลปวิทยาการ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา คนไทยรับวัฒนธรรมตะวันตกมากขึ้น ทำให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีของคนไทยมาจนถึงปัจจุบัน

ดัวอย่างวัฒนธรรมตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทยที่สำคัญมีดังนี้
1. ด้านการทหาร เป็นวัฒนธรรมตะวันตกแรก ๆ ที่คนไทยรับมาตั้งแต่อยุธยา โดยซื้ออาวุธปืนมาใช้ มีการสร้างป้อมปราการตามแบบตะวันตก เช่น ป้อมวิไชยประสิทธิ์ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ออกแบบโดยวิศวกรชาวฝรั่งเศส ในสมัยรัตนโกสินทร์มีการจ้างชาวอังกฤษเข้ามารับราชการเพื่อทำหน้าที่ให้คำ ปรึกษาด้านการทหาร มีการตั้งโรงเรียนนายร้อย การฝึกหัดทหารแบบตะวันตก
2. ด้ารการศึกษา ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีชนชั้นนำจำนวนหนึ่ง เช่น พระอนุชาและขุนนางได้เรียนภาษาอังกฤษและวิทยาการตะวันตก ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงจ้างครูต่างชาติมาสอนภาษาอังกฤษและความรู้แบบตะวันตกในราชสำนัก
ในสมัยรัชการลที่ 5 มีการตั้งโรงเรียนแผนใหม่ ตั้งกระทรวงธรรมการขึ้นมาจัดการศึกษาแบบใหม่ ทรงส่งพระราชโอรสและนักเรียนไทยไปศึกษาที่ประเทศต่าง ๆ เช่น โรงเรียนแพทย์ โรงเรียนกฎหมาย ในสมัยรัชกาลที่ 6 มีพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับและการตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3. ด้านวิทยาการ เช่น ความรู้ทางด้านดาราศาสตร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้ความรู้ทางดาราศาสตร์จนสามารถ คำนวณการเกิดสุริยุปราคาได้อย่างถูกต้อง ความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่ ซึ่งเริ่มในสม้ยรัชกาลที่ 3 ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการจัดตั้งโรงพยาบาล โรงเรียนฝึกหัดแพทย์และพยาบาล ความรู้ทางการแพทย์แบบตะวันตกนี้ได้เป็นพื้นฐานทางการแพทย์และสาธารณสุขไทย ในปัจจุบัน
4. ด้านแนวคิดแบบตะวันตก การศึกษาแบบตะวันตกทำให้แนวคิดทางการปกครอง เช่นประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ สาธารณรัฐแพร่เข้ามาในไทย และมีความต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง นอกจากนี้ วรรณกรรมตะวันตกจำนวนมากก็ได้มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนรูปแบบการประพันธ์ จากร้อยกรองเป็นร้อยแก้ว และการสร้างแนวคิดใหม่ ๆ ในสังคมไทย เช่น การเข้าใจวรรณกรรมรูปแบบนวนิยาย เช่น งานเขียนของดอกไม้สด ศรีบูรพา
5. ด้านวิถีการดำเนินชีวิต การรับวัฒนธรรมตะวันตกและสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ มาใช้ ทำให้วิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยแบบเดิมเปลี่ยนแปลงไป เช่น การใช้ช้อนส้อมรับประทานอาหารแทนการใช้มือ การนั่งเก้าอี้แทนการนั่งพื้น การใช้เครื่องแต่งกายแบบตะวันตกหรือปรับจากตะวันตก การปลูกสร้างพระราชวัง อาคารบ้านเรือนแบบตะวันตก ตลอดจนนำกีฬาของชาวตะวันตก เช่น ฟุตบอล กอล์ฟ เข้ามาเผยแพร่ เป็นต้น
โปรตุเกส เป็นชาติตะวันตกชาติแรกที่เข้ามาในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 นำวัฒนธรรมการทำปืนไฟ การสร้างป้อมต่อต้านปืนไฟ ยุทธวิธีทางการทหาร การทำขี้ผึ้งรักษาแผล การทำขนมฝอยทอง ขนมฝรั่ง เป็นทหารอาสาสมัยพระชัยราชาธิราช รบกับพม่า 120 คน
ฮอลันดาเข้ามาสมัยในสมัยพระนเรศรวรมหาราช อาคารที่ฮอลันดาสร้าง ไทยเรียกว่า "ตึกวิลันดา" นำอาวุธปืนมาขาย รวมทั้งเครื่องแก้ว กล้องยาสูบ เครื่องเพชรเครื่องพลอย ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็ทรงพอพระทัยแว่นตา และกล้องส่องทางไกลจากฮอลันดา
อังกฤษ เข้ามาในราชสำนักสมัยพระเอกาทศรถ มุ่งทางด้านการค้า แต่สู้ฮอลันดาไม่ได้ เช่น ยอร์ช ไวท์ มีต่ำแหน่งเป็นออกหลวงวิชิตสาคร ส่วน แซมมวล ไวท์ ได้เป็นนายท่าเมืองมะริด
ฝรั่งเศส เข้ามาสมัยพระนารายณ์มหาราช เพื่อเผยแผ่ศาสนาคริสต์ คณะบาทหลวงได้นำความรู้ด้านการแพทย์ การศึกษา การทหาร ดาราศาสตร์ การวางท่อประปา การสร้างหอดูดาวที่ลพบุรีและอื่น ๆ อีกหลายแห่ง
ในสมัยอยุธยาตอนปลายความสัมพันธ์กับชาติตะวันตกลดลงและหยุดชะงักไปใน สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปรับปรุงประเทศตามแบบตะวันตกโดยมีการเปิดสัมพันธ์ทางการทูต เพราะตะหนักถึงภยันตรายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นการป้องกันการแทรกแซงภายใน วัฒนธรรมตะวันตกจึงเริ่มผสมผสานจนเป็นที่ยอมรับและเข้ามามีบทบาทในด้านต่าง ๆ ดังนี้

1. การเมืองการปกครอง รับเอาประเพณี ค่านิยม วัฒนธรรม เข้ามาในประเทศ เพราะมีพระบรมวงศานุวงศ์ไปเรียนต่างประเทศ มีการปฎิรูปการปกครองแบบชาติตะวันตก ตั้งกระทรวง 12 กระทรวง
2. เศรษฐกิจ ยกเลิกระบบไพร่ เลิกทาส ใช้เงินตราเป็นตัวกลางในการซื้อขาย ตั้งธนาคารแห่งแรก คือ บุคคลัภย์ (Book Club) ต่อมาคือธนาคารไทยพาณิชย์
3. ด้านสังคม เลิกระบบหมอบคลานมาเป็นแสดงความเคารพ ให้นั่งเก้าอี้แทน เปลี่ยนแปลงการแต่งกาย จัดการศึกษาเป็นระบบโรงเรียน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้ออกพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2464
การศึกษาขยายถึงระดับมหาวิทยาลัย มีพระราชบัญญัตินามสกุล และคำนำหน้าชื่อ นาย นาง นางสาว เด็กหญิง เด็กชาย
สรุปได้ว่า คนไทยมีวัฒนธรรมที่เป็นของตนเองมาตั้งแต่สุโขทัย ซึ่งแสดงออกถึงความเป็นชาติที่มีความรัก ความสามัคคีและสงบสุข อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมไทยก็เหมือนวัฒนธรรมของชนชาติอื่นที่เป็นวัฒนธรรมแบบผสมผสาน คือ
1. มีวัฒนธรรมดังเดิมเป็นของตนเอง
2. รับเอาวัฒนธรรมอื่นจากภายนอกที่ได้ติดต่อสัมพันธ์กัน มาผสมผสานให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม 


เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก


Chichen Itza


          ลัลลาท่องเที่ยวมาก็หลายประเทศ แต่เชื่อว่ายังมีหลายคน ไม่เคยไปสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของ7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ (สร้างขึ้นระหว่าง ศตวรรษที่ 17 - ศตวรรษที่ 20) ซึ่งถูกจัดทำขึ้นโดยองค์กรของสวิตซ์ The New Open World Corporation (NOWC) และประกาศออกมาเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ที่กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส วันนี้เราเลยจะพาเพื่อน ๆ ไปท่องเที่ยวตามรอย 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ กันค่ะ...
ชิเชน อิตสา (Chichen Itza)
          ชีเชนอิตซา แหล่งโบราณคดีขนาดใหญ่ สร้างขึ้นโดยชาวมายาในเขตวัฒนธรรมเมโสอเมริกัน ตั้งอยู่ในคาบสมุทรยูกาตัง รัฐยูกาตัง ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเม็กซิโก ชีเชนอิตซา เป็นส่วนหนึ่งของเมืองจำนวนมากมาย ซึ่งพวกมายาได้สร้างขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ของเทพเจ้าผู้ทรงกระหายพระโลหิต
          ลักษณะโดยทั่วไปของชีเชนอิตซา ทำเป็นรูปเหลี่ยมลดขั้นเป็นชั้น ๆ บนเนื้อที่ราว 6.4 ตารางกิโลเมตร มีบันไดกลาง วิหารที่ใหญ่สุดมีชื่อว่า "วิหารแห่งนักรบ" สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12 หลังจากสร้างวิหารเก่าแห่งชักโมล ตรงกลางสร้างเป็นปราสาทเหลี่ยมทึบสูงขึ้นไป ใช้เป็นที่ทำพิธีสังเวยเทพเจ้า โดยใช้เด็กสาวโยนลงไปถวายเทพเจ้า ณ ที่นั้น รอบ ๆ ห่างออกมาทำเป็นบริเวณตลาด ทำนองเดียวกับสถานสถิตยุติธรรมของพวกโรมัน ซึ่งอยู่กลางเมืองที่สาธารณะและเป็นที่รวมของฝูงชน
          ชนเผ่ามายาแห่งเม็กซิโก สืบสายมาจากคนพวกแรกที่เดินทางจากทวีปเอเชีย เข้ามายังทวีปอเมริกาทางช่องแคบเบริง ได้มีการพัฒนาทางวัฒนธรรมทั้งในด้านเหี้ยมโหดอันป่าเถื่อน และความมีสติปัญญาอันสูงส่งในขณะเดียวกัน พวกมายาฝึกความเสียสละด้านมนุษยชาติ ควักหัวใจผู้ที่รับการบูชาออกสังเวยพระเจ้า ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาความรู้ด้านดาราศาสตร์ ศิลปะของสถาปัตยกรรม ทางอักษรศาสตร์ ด้านการเขียนบันทึกด้วยตัวอักษรพิเศษ และการค้นพบค่าของเลข 0 ทางคณิตศาสตร์ แต่ก็น่าแปลกที่พวกเขามิได้ค้นพบประโยชน์อันเกิดจากล้อเลื่อน
          ศูนย์กลางของอารยธรรมของคนพวกนี้อยู่ที่ ชีเชนอิตซา ในคาบสมุทรยูกาตัง ผู้ค้นพบ ขุมอารยธรรมเหล่านี้แล้วนำออกมาเผยแพร่ให้ชาวโลกได้ทราบคือ นายทอมป์สัน ชาวอเมริกัน ผู้ใช้ชีวิตซอกซอนท่องเที่ยวไปในหมู่พวกมายา ด้วยความสนใจจะศึกษาสิ่งลึกลับต่าง ๆ
Statue Cristo Redentor
รูปปั้นของพระเยซู เมืองริโอ เดอ จาเนโร (Statue Cristo Redentor)
          อูกริชตูเรเดงโตร์ เป็นรูปปั้นพระเยซูคริสต์ตั้งอยู่ที่ยอดเขากอร์โกวาดู ประเทศบราซิล มีความสูงราว 38 เมตร ได้รับการออกแบบโดยเอโตร์ ดา ซิลวา กอชตา ชาวบราซิล และสร้างโดยปอล ลันดอฟสกี ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี โดยทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม ปี พ.ศ. 2474 
          ถือเป็นอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทั้งยังเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของนครรีโอเดจาเนโร และเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวบราซิล มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ราว 1,800,000 รายต่อปี ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปฐานของรูปปั้น สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของภูเขา Sugar Loaf กลางเมือง Rio de Janeiro และชายหาดของ Rio de Janeiro 
Colosseum of Rome

โคลอสเซียม สนามกีฬากรุงโรม( Colosseum of Rome)
          โคลอสเซียม (Colosseum หรือ Flavian Amphitheatre; อิตาลี: Colosseo - โคลอสโซ) ในบางครั้งจะมีการเรียกชื่อ โคลิเซียม (Coliseum) เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซียนแห่งจักรวรรดิโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไททัส ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 หรือประมาณปี ค.ศ. 80 อัฒจันทร์เป็น รูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทราย 
          วัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่าง ๆ ในปัจจุบัน
กำแพงเมืองจีน
กำแพงเมืองจีน (Great Wall of China)
          กำแพงเมืองจีน เป็นกำแพงที่มีป้อมคั่นเป็นช่วง ๆ ของจีนสมัยโบราณ สร้างในสมัยพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นครั้งแรก กำแพงส่วนใหญ่ที่ปรากฏในปัจจุบันสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการรุกรานจากพวกมองโกล และพวกเติร์ก หลังจากนั้นยังมีการสร้างกำแพงต่ออีกหลายครั้งด้วยกัน แต่ภายหลังก็มีเผ่าเร่ร่อนจากมองโกเลียและแมนจูเรีย สามารถบุกฝ่ากำแพงเมืองจีนได้สำเร็จ
          กำแพงเมืองจีน ยังคงเรียกว่า กำแพงหมื่นลี้ เพราะมีความยาวทั้งหมดถึง 6,350 กิโลเมตร และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางด้วย มีความเชื่อกันว่า หากมองเมืองจีนจากอวกาศจะสามารถเห็นกำแพงเมืองจีนได้ ซึ่งในความเป็นจริงไม่สามารถมองเห็นจากอวกาศได้
Machu Picchu
มาชูปิกชู อาณาจักรอินคา (Inca city)
          มาชูปิกชู (Machu Picchu) หรือนิยมเรียกอีกชื่อว่า เมืองสาบสูญแห่งอินคา เป็นซากอารยธรรมโบราณของชาวอินคา ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงในประเทศเปรู ที่ความสูงประมาณ 2,350 เมตร อารยธรรมแห่งนี้ ได้ถูกลืมโดยคนภายนอก จนกระทั่งมีการค้นพบอีกครั้งโดยนักโบราณคดีที่ชื่อ ไฮแรม บิงแฮม เมื่อ พ.ศ. 2454 มาชูปิกชูเป็นหลักฐานที่สำคัญของจักรวรรดิอินคา ในปี พ.ศ. 2526 องค์กรยูเนสโกได้กำหนดมาชูปิกชูให้เป็นมรดกโลก โดยทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนนิยมไปศึกษาประวัติศาสตร์
          มาชูปิกชู ตั้งอยู่ห่างจากเมืองกุสโกไป ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 70 กิโลเมตรบนยอดของทิวเขามาชูปิกชู ที่ระดับ 2,350 เมตรจากระดับน้ำทะเล สถานที่แห่งนี้นับเป็นศูนย์กลาง ที่มีความสำคัญยิ่งทางโบราณคดีของอเมริกาใต้ และเป็นตัวดึงดูดนักท่องเที่ยวเกือบทุกคนที่มาเยือนประเทศเปรู
          จากยอดเขา ณ หน้าผามาชูปิกชู เป็นหน้าผาที่มีลักษณะดิ่งชันสูงถึง 600 เมตร จากฐานที่เป็นแม่น้ำคือ แม่น้ำอารูบัมบา ที่ตั้งของตัวเมืองนับเป็นความลับทางการทหาร ก็เนื่องจากการเป็นหน้าผาสูงชัน ที่มีอันตรายที่เป็นปราการป้องกันธรรมชาติอันยอดเยี่ยมนั่นเอง
          ในปี พ.ศ. 2546 มีผู้คนประมาณ 400,000 คน ไปท่องเที่ยวที่มาชูปิกชู และยูเนสโกได้ส่งข้อความสารแสดงถึงความเสียหาย จากนักท่องเที่ยวที่ไปเป็นจำนวนมาก แต่ทางผู้มีอำนาจของทางเปรูบอกว่าเรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ถึงอย่างไร การคัดค้านนั้นทำให้มีการเรียกเก็บเงินจากผู้ที่ไปเที่ยวชม และจำกัดจำนวนผู้เช้าชม และได้มีการเสนอให้ติดตั้งรถกระเช้า แต่ข้อเสนอนี้ถูกปฏิเสธอยู่ตลอดและดูไม่มีทางจะเป็นไปได้ทุกที
Petra
เปตรา (Petra)
          นครเปตรา คือนครหินแกะสลักโบราณที่ซ่อนตัวอย่างลึกลับในหุบเขาวาดี มูซา หุบเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบเดดซีกับทะเลอัคบาในประเทศจอร์แดน นครนี้แต่เดิมนั้น เป็นนครแห่งการค้าขนาดใหญ่ซึ่งต่อมาถูกละทิ้งเป็นเวลานานกว่า 700 ปี จนเมื่อมีนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โยฮันน์ ลุควิก บวร์กฮาร์ท เดินทางผ่านมาพบเห็นเข้าเมื่อปี พ.ศ. 2355 (ค.ศ. 1812)
          นครเปตรา ได้รับลงทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2528 โดยกล่าวอธิบายไว้ว่า "เป็นหนึ่งในสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดของมรดกทางวัฒนธรรมแห่งมวลมนุษยชาติ"(one of the most precious cultural properties of man's cultural heritage) ปัจจุบันสามารถเดินทางเข้าไปโดยอาศัยม้าเท่านั้น
          ชนกลุ่มแรกที่เดินทางเข้ามาสู่เปตราคือ พวกเอโดไมต์ ซึ่งเข้ามาราวปี 1000 ปีก่อนคริสตกาล แต่ชนชาติที่สร้างเมืองเปตราขึ้นมานั้นคือชาวนาบาเทียน (Nabataeans) ในช่วงศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทรายอาหรับ คนกลุ่มนี้สกัดผาหินทรายเป็นบ้านเรือน และอาศัยอยู่ในถ้ำทีมีอยู่ทั่วเมือง พวกเขามีอาชีพเป็นคนเลี้ยงแกะ แต่เปลี่ยนมาค้าขาย และรับจ้างเป็นยามรักษาความปลอดภัยให้แก่กองคาราวาน คนเผ่านี้มีความซื่อสัตย์ ค่าธรรมเนียมผ่านทางที่เรียกเก็บจากผู้สัญจ รก็ช่วยให้พวกนาบาเทียนมีชีวิตที่รุ่งเรื่องขึ้น
          สาเหตุที่เปตรา ตั้งอยู่บนดินแดนอันแห้งแล้ง มีแต่หินกับทรายนั้น ก็น่าจะเพราะเปตราตั้งอยู่เส้นทางการค้าสำคัญที่สุดของ โลกในขณะนั้น 2 สาย ได้แก่เส้นทางสายสายตะวันออก - สายตะวันตก คาบสมุทรอาหรับกับอ่าวเปอร์เซียจนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และสายสายเหนือ - ใต้ ที่เชื่อมทะเลแดงกับ กรุงดามัสกัส ซีเรีย นอกจากนั้นเมืองนี้ยังมีแหล่งน้ำจืดสำคัญซึ่งต่อมาเรียกกันว่า วาดี มูซา หรือ หุบเขาโมเสส ซึ่งเล่ากันว่าเป็นน้ำที่ได้เมื่อโมเสสเสกออกมาเพื่อให้ชาวยิวได้ กินแก้กระหาย เหล่าพ่อค้าหรือนักเดินทางที่เดินทางผ่านทะเลทรายอันว่างเปล่า และแห้งแล้ง ใกล้เคียงนั้นไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากมุ่งมาที่เมืองเปตราอย่างเดียว 
          เปตรา เป็นศูนย์กลางค้าขนาดใหญ่ จนทำให้นักเดินทางชาวกรีกมักนำเรื่องความมั่งคั่งมาเล่าให้ฟัง ตามบันทึกของสตราโบ นักภูมิศาสตร์ชาวกรีกได้อธิบายไว้ว่า เมืองเปตราเป็นตลาดซื้อสินค้าสำคัญที่สุดของโลกตะวันออก ยางไม้หอม กำยาน เครื่องเทศของชาวอาหรับ ทองแดง เหล็ก เครื่องปั้นดินเผา รูปปั้น ผ้าย้อมของชาวฟินิเซียน ล้วนถูกลำเลียงผ่านเมืองเปตราไปสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และชาวเปอร์เซีย
          เปตราเจริญถึงขีดสูงสุดในช่วง 50 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงคริสต์ศักราชที่ 70 ในช่วงเวลานี้เปตราถูกปกครองด้วยกษัตริย์นาม อารีตัสที่ 4 (Aretas IV) ผู้ที่ชาวกรีกยกย่องให้ว่า ฟิโลเดมอส (Philodemos) ซึ่งแปลว่า ผู้รักประชาชน และด้วยความมั่งคั่ง ความเป็นเมืองที่อยู่ห่างไกล และชัยภูมิอันยากแก่การพิชิต จึงทำให้เมืองมีโอกาสเจริญเติบโตได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องกลัวศัตรูจากภายนอก
          ชาวเปตรานับถือเทพเจ้าสององค์คือ เทพดูซาเรส (Dushares) เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ และเทพอัลอัซซา (Al Uzza) ชายาของเทพดูซาเรส เทวีแห่งน้ำ
          ด้วยเหตุที่เกิดเมืองใหม่และเส้นทางค้าขายใหม่ที่ปลอดภัย และสะดวกกว่าในช่วงเวลาต่อมา เปตราที่เคยเจริญรุ่งเรืองด้วยการค้าก็เริ่มสูญเสียอำนาจลง เมืองอ่อนแอและถูกต่างชาติโจมตีเข้าได้ง่าย จนเมื่อถึงปี พ.ศ. 649 (ค.ศ. 106) พวกโรมันนำโดยจักรพรรดิทราจัน หรือ ไทรอะนุส (Traianus) ได้เข้ายึดครองเปตราและผนวกนครนี้เข้าเป็นจังหวัดในจักรวรรดิโรมัน แต่เปตราก็ยังคงดำรงอยู่เรื่อยมาจนถึงราวปี ค.ศ. 300 เมื่อจักรวรรดิโรมันเริ่มคลอนแคลน ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 906 (ค.ศ. 363) แผ่นดินไหวก็ได้ทำลายอาคารและระบบชลประทานที่ถือว่าดีมากของเมืองลง
          ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 เปตรากลายเป็นที่ตั้งคริสต์ศาสนามณฑลของบิชอป แล้วถูกมุสลิมยึดในคริสต์ศตวรรษที่ 7 แล้วก็เสื่อมถอยมาเรื่อย ๆ จนลบเลือนหายไปจากผู้คน
          ถึงแม้ซากเมืองเปตรา จะเป็นสิ่งที่น่าอยากรู้อยากเห็นของผู้คนในช่วงยุคกลาง เช่น มีสุลต่านของอียิปต์ ไบบารส์ (Sultan Baibars) เดินทางเข้าไปเยี่ยมชนในช่วงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 13 แต่การค้นพบเปตราที่นำไปสู่การเปิดเผยต่อสายตาชาวโลก เกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ เมื่อปี พ.ศ. 2355 (ค.ศ. 1812) เมื่อมีนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โยฮันน์ ลุควิก บวร์กฮาร์ท (Johann Ludwig Burckhardt) ซึ่งกำลังเดินทางจากจอร์แดนไปอียิปต์ เพื่อไปศึกษาถึงแหล่งที่เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์ บวร์กฮาร์ทได้เห็นด้านหน้าอันใหญ่โตของเปตรา แต่ผู้นำทางท้องถิ่นสั่งห้ามมิให้เขาลงไปทำอะไรที่นั่น บวร์กฮาร์ทจึงแอบบันทึกย่อไว้ขณะที่อูฐเดินผ่าน ถึงแม้จะเป็นเพียงบันทึกเล็กๆ คร่าวๆ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการที่เปิดเมืองสู่สายตาชาวโลก ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2369 (ค.ศ. 1826) เลออง เดอ ลาบอร์ด (Leon de Laborde) ชาวฝรั่งเศสที่ได้เดินทางเข้าไปสำรวจเมือง และเขียนหนังสือออกมาเล่มหนึ่งชื่อว่า "Voyage de l'Arabie Pétrée" แปลว่า "การเดินทางในเปตราแห่งอาหรับ" (ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2373) ซึ่งการเขียนหนังสือครั้งนี้ถือเป็นการนำภาพและความรู้ต่างๆ ที่ชาวโลกไม่เคยเห็นมาเปิดเผยให้ได้รับรู้ [6]
          การสำรวจทางโบราณคดีเริ่มขึ้นในช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงดำเนินการสำรวจอยู่
ทัชมาฮาล
ทัชมาฮัล (Taj Mahal)
          ทัชมาฮัล ตั้งอยู่ที่ เมืองอักรา ประเทศอินเดีย เป็นอนุสาวรีย์แห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ของโลก เพราะที่นี่เป็นสุสานฝังศพของ มุมทัชมาฮัล ราชินีผู้ป็นที่รักยิ่งของ พระเจ้าชาห์เยฮัน อยู่ในเมืองอัคระ บนฝั่งแม่น้ำยมนา ประเทศอินเดีย
          ทัชมาฮาล สุสานหินอ่อน ที่ผู้คนเชื่อว่าเป็นสถาปัตยกรรมแห่งความรักที่สวยที่สุดในโลก ถูกสร้างขึ้นโดยกษัตริย์อินเดีย ผู้มีรักมั่นคงต่อพระมเหสีของพระองค์ เจ้าชายขุร์รัม ชึ่งต่อมาคือจักรพรรดิชาห์ ชหาน พระราชสมภพในปี พ.ศ. 2135 (ค.ศ. 1592) พระบิดา คือ จักรพรรดิ ชาห์ ชหานชีร์ จักรพรรดิองค์ที่สี่แห่งราชวงศ์โมกุล แห่งอินเดีย ตามตำนานกล่าวว่า เจ้าชายขุร์รัม ได้พบกับ อรชุมันท์ พานุ เพคุม ธิดาของรัฐมนตรี เมื่อพระองค์ มีพระชนมายุ 14 พรรษา พระองค์ทรงหลงใหลและหลงรักนาง เจ้าชายขุร์รัมจึงซื้อเพชรด้วยเงิน 10,000 รูปี และบอกแก่พระบิดาของพระองค์ว่า พระองค์มีความประสงค์ที่จะแต่งงานกับบุตร สาวของรัฐมนตรี พิธีอภิเษกถูกจัดขึ้นหลังจากนั้น 5 ปี ในปี พ.ศ. 2155 (ค.ศ. 1612) จากนั้นมาทั้งสองก็มิเคยอยู่ห่างกันอีกเลย
          หลังจากที่พระเจ้าชาห์ ชหาน ขึ้นครองราชบัลลังก์ในปี พ.ศ. 2171 พระองค์มอบความไว้วางใจแก่ อรชุมันท์ พานุ เพคุม และเรียกนางว่า มุมตัซ มาฮาล "อัญมณีแห่งราชวัง" พระมเหสีติดตามพระองค์ แม้แต่ในสนามรบ แนะนำพระองค์ในเรื่องราชการของประเทศ และพระองค์ซาบซึ้งในน้ำพระทัยของพระมเหสียิ่งนัก ครั้นในปี พ.ศ. 2174 (ค.ศ. 1631) พระมเหสีมุมตัซสิ้นพระชนม์ หลังจากให้กำเนิดทายาทองค์ที่ 14 การสิ้นพระชนม์ของพระมเหสีทำให้พระเจ้าชาห์ ชหานโศกเศร้าอยู่ถึงสองทศวรรษ ราชสมบัติส่วนใหญ่สูญเสียไป เพื่อการสร้างอนุสรณ์แห่งความรักของทั้งสองพระองค์
          ในปี พ.ศ. 2200 (ค.ศ. 1657) พระเจ้าชาห์ ชหานทรงพระประชวร และในปี พ.ศ. 2201 (ค.ศ. 1658) พระโอรส โอรังเซบ จับพระเจ้าชาห์ ชหานขัง และขึ้นครองราชบัลลังก์แทน พระองค์ถูกกักขังอยู่ถึง 8 ปี จนกระทั่งสวรรคตในปี พ.ศ. 2209 (ค.ศ. 1666) ตามตำนานกล่าวว่า ให้วันสุดท้ายของชีวิตพระองค์ ใช้เวลาทั้งวันในการจ้องมองเศษกระจก ที่สะท้อนภาพของทัชมาฮาล และสิ้นพระชนม์ด้วยเศษกระจกในกำมือ พระเจ้าชาห์ ชหานถูกฝังในทัชมาฮาล เคียงข้างมเหสีซึ่งพระองค์ไม่เคยลืม มีบางคนกล่าวว่าพระเจ้าชาห์ ชหาน มิได้ประสงค์ที่จะถูกฝังร่วมกับประมเหสี แต่พระองค์มีแผนการที่จะสร้างสุสานอีกแห่งด้วยหินอ่อนสีดำ เพื่อเป็นสุสานของพระองค์ แต่ผู้รู้หลายท่านเชื่อว่า พระองค์ประสงค์ที่จะถูกฝังเคียงข้างพระนางมุมตัซ มาฮาล
          ทัชมาฮาล ถูกพิจารณาให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคใหม่ ทัชมาฮาลตั้งอยู่ในสวนริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ในเมืองอาครา ส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ หลุมศพของพระนางมุมตัซ มาฮาล ซึ่งถูกสร้างด้วยหินอ่อนสีขาว ศิลาแลง ประดับลวดลายเครื่องเพชร พลอย หิน โมราและ เครื่องประดับจากมิตรประเทศ ได้รับคำรับรองว่าสร้างขึ้นด้วยสัดส่วนที่วิจิตรและงดงามที่สุด กว้างยาวด้านละ 100 เมตร สูง 60 เมตร มีผู้สร้างและออกแบบร่วม 20,000 คน การก่อสร้างกินเวลานานถึง 22 ปี ทัชมาฮาลมีเนื้อที่ประมาณ 42 เอเคอร์ เป็นที่ตั้งของมัสยิด มีหออาซาน (หอสูงสำหรับร้องแจ้งเวลาทำนมาซ) และมีสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ นายช่างที่ออกแบบ ชื่อ อุสตาด ไอซา ถูกประหารชีวิตเพื่อมิให้ไปออกแบบสถาปัตยกรรมใด ๆ ที่สวยกว่าได้ ส่วนหัวของทัชมาฮาลมีลักษณะโดมที่เรียกว่าโอเนียนโดม

x